ศ. 2565 และนำส่งส่วนที่หักไว้นั้นแก่สรรพากรภายในวันที่ 7-15 ของเดือนถัดไป สรุป ภาษี หัก ณ ที่จ่าย แบ่งตามประเภทค่าใช้จ่ายได้เป็นทั้งหมด 7 ประเภท คือ 1) ค่าจ้างและเงินเดือน ต่ำสุด 0% 2) จ้างทำงานหรือบริการ ต่ำสุด 0% 3) จ้างบริการวิชาชีพอิสระ หัก 3% 4) จ้างรับเหมาหรือบริการ หัก 3% 5) ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ หัก 5% 6) ค่าโฆษณา 2% 7) ค่าขนส่ง 1% จะต้องหักตามเปอร์เซ็นต์ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งสามารถหาคำตอบได้จากบทความ "ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร? ทำไมก่อนจดบริษัทไม่เคยเจอ" หรือหากยังมีข้อสงสัยเรื่องเอกสารการหัก ณ ที่จ่าย สามารถขอคำปรึกษาจากสำนักงานบัญชี รวมถึงจ้าง ทำบัญชี ก็ได้เช่นกัน เพื่อให้กิจการได้ใช้เวลาในการบริหารธุรกิจของตนเองได้อย่างเต็มที่
88 บาท) ท่านจึงขอ ทราบว่า บริษัทฯ สามารถหักเงินที่จ่ายเกินดังกล่าวจากเงินเดือนปัจจุบันของพนักงานอย่างไร ดังนี้ 1. บริษัทฯ ต้องหักค่าเช่าบ้านที่จ่ายเกินจากเงินเดือนของ พนักงานเป็นรายเดือนๆ ละ 17, 500 บาท เป็นระยะเวลา 12 เดือน รวมเป็นเงิน 210, 000 บาท แม้ในสัญญาจะระบุว่ามีการจ่ายเงินเท่ากับ 300, 000 บาท ซึ่งเป็นยอดที่รวมภาษีหัก ณ ที่จ่ายด้วย แต่พนักงานได้รับจริงเป็นระยะเวลา 12 เดือน รวม 210, 000 บาท หรือจะหักเงินคืน เดือนละ 25, 000 บาท (รวมค่าภาษี) 2. บริษัทฯ ต้องยื่นปรับปรุงแบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ. ง. ด. 1) และแบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ. 1ก. ) และพนักงานต้องยื่นปรับปรุงแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดา (ภ. 91) ประจำปีภาษี 2551 หรือไม่ 3. เงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวน 90, 000 บาท (7, 500*12) กรมสรรพากรจะคืนให้แก่บริษัทฯ หรือพนักงาน 4. เงินได้พึงประเมินของพนักงานที่จะต้องคำนวณภาษี ภาษีหัก ณ ที่จ่ายปี 2553 จะคำนวณจากเงินเดือนปัจจุบันหรือ เงินที่ได้รับหลังจากหักคืนเงินส่วนที่เกิน
คำนวณ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เงินเดือน - YouTube
หากเราไม่ได้แจ้งนายจ้างว่าเรามีรายการลดหย่อนอะไรบ้าง นายจ้างจะคำนวณภาษี โดยหักเฉพาะรายการค่าลดหย่อนบางรายการที่นายจ้างทราบ เพราะเป็นผู้ดำเนินการให้เราเองเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมแต่ละเดือนเราถึงโดนหักภาษีมากกว่าที่เราควรจะต้องเสียจริงๆ 2. ทุกๆ ครั้งที่เราได้รับรายได้พิเศษ ที่ไม่ได้รับเป็นประจำและมักจะมียอดไม่แน่นอน เช่น โบนัสประจำปี หรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งยังไม่ได้คิดรวมในรายได้ที่นายจ้างประเมินในขั้นตอนแรก นายจ้างก็จะนำรายได้ส่วนที่ได้รับเพิ่มพิเศษในเดือนนั้นๆ มารวมเข้ากับรายได้ก้อนเดิมที่เคยประเมินไว้ และคำนวณภาระภาษีใหม่ ซึ่งจะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยยอดภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น จะถูกนำมาหัก ณ ที่จ่ายออกจากเงินได้ ที่ได้รับในเดือนนั้นเลย จึงเป็นสาเหตุว่า เดือนไหนที่เราได้รับโบนัส หรือค่าคอมมิชชั่นก้อนใหญ่ เดือนนั้นเราจะต้องโดนหักภาษีเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง ใช้แบบ ล. ย. 01 เพื่อแจ้งรายการค่าลดหย่อนล่วงหน้า จากหลักการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายข้างต้น จะพบว่า หากเราสามารถแจ้งรายการค่าลดหย่อนที่เรามีทั้งหมด ให้กับนายจ้างทราบได้ นายจ้างก็จะสามารถคำนวณภาษีให้เราอย่างถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เราถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายน้อยลง ซึ่งกฎหมายก็ได้กำหนดวิธีการแจ้งรายการค่าลดหย่อนให้นายจ้างได้ทราบไว้ โดยให้ใช้แบบฟอร์มที่มีชื่อว่า " ล.
01 แจ้งว่ามีค่าลดหย่อนเพิ่มเติมตามสมมติฐาน จะไม่โดนหักภาษี ณ ที่จ่ายเลย ส่งผลให้ได้กระแสเงินสดในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้น 1, 467 บาท ซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ได้เลยในทุกๆ เดือน โดยไม่ต้องโดนหักภาษีไว้เกิน แล้วไปขอคืนภายหลัง ตัวอย่าง #2: มนุษย์เงินเดือนมีรายได้เดือนละ 10 0, 000 บาท หากไม่ได้แจ้งว่ามีค่าลดหย่อนเพิ่มเติม จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เดือนละ 9, 100 บาท แต่หากกรอกแบบ ล. 01 แจ้งว่ามีค่าลดหย่อนเพิ่มเติมตามสมมติฐาน จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เดือนละ 1, 550 บาท เท่านั้น ส่งผลให้ได้กระแสเงินสดในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นถึง 7, 550 บาท ซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ได้เลยในทุกๆ เดือน โดยไม่ต้องโดนหักภาษีไว้เกิน แล้วไปขอคืนภายหลัง ตัวอย่าง #3: มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้เดือนละ 20 0, 000 บาท หากไม่ได้แจ้งว่ามีค่าลดหย่อนเพิ่มเติม จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เดือนละ 33, 192 บาท แต่หากกรอกแบบ ล. 01 แจ้งว่ามีค่าลดหย่อนเพิ่มเติมตามสมมติฐาน จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย เดือนละ 20, 646 บาท เท่านั้น ส่งผลให้ได้กระแสเงินสดในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นถึง 12, 546 บาท ซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ได้เลยในทุกๆ เดือน โดยไม่ต้องโดนหักภาษีไว้เกิน แล้วไปขอคืนภายหลัง บทสรุป จาก 3 ตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า หากเรามีแผนที่จะใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว การกรอกแบบ ล.