ดูให้รับประทานอาหารที่มีเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว เป็นต้น เพราะเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิลในการสร้างเม็ดเลือดแดง 4. ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนบนเตียง เพราะการพักผ่อนบนเตียงจะช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลง 5. vital sign ทุก 4 ชม เพราะการประเมินสัญญาณชีพจะช่วยให้ทราบความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน 6. ประเมิน o2 saturation ทุก 4 ชม เพราะเป็นการวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด 7. ติดตามผล lab hb hct เพราะเป็นค่าที่แสดงถึงความเข้มข้นของเลือดในร่างกาย
0, ครีเอทีฟคอมมอนส์, รูปอิสระ, รูปถ่ายอิสระและภาพถ่ายที่ผู้อ่านส่งมา อ้างอิง: คุณสมบัติการเผาผลาญของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง, Robert K. Naviaux และคณะ PNAS, ดอย: 10. 1073 / pnas. 1607571113, เผยแพร่ออนไลน์ 29 สิงหาคม 2016 คุณชอบบทความของเราหรือไม่ ปล่อยให้คะแนนดาว
เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส. ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 14 ธ. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที หากคุณกำลังรู้สึกอ่อนแรงและไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เป็นไปได้ว่า คุณอาจเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ( Chronic fatigue syndrome) แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ สั่งยา ปรึกษาข้อมูลเบื้องต้น จากร้านยาใกล้บ้านคุณได้ง่ายๆ เริ่มจากแชทกับเภสัชกรที่มีใบอนุญาตผ่านแอปของเรา ฟรี!
เซลล์ร่างกายอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากภาวะซีด ข้อมูลสนับสนุน ผู้ป่วยบ่นไม่มีแรง อ่อนเพลีย เยื่อบุตาล่างซีด ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระบนเลือด 1 อาทิตย์ ก่อนมา รพ. Hb = 12 g/dl Hct = 34% เกณฑ์การประเมินผล ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลีย เยื่อยุตาร่างสีชมพู ไม่มีอุจจาระบนเลือด Hb = 12 - 16 g/dl Hct = 38 - 47% O2 sat >= 95% เป้าหมาย เซลล์ได้รับออกซิเจนเพียงพอ การพยาบาล 1. ประเมินภาวะซีดจากการซักถามอาการเหนื่อยอ่อนเพลียของผู้ป่วย และอาการหายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว เพราะการประเมินภาวะซีดจะช่วยให้ทราบถึงความรุนแรงของภาวะซีดและอาการหายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียว แสดงถึงภาวะพร่องออกซิเจน เพื่อรายงานแพทย์พิจารณาการให้ o2 2. ดูแลให้เลือด Pack red cell 1 unit ตามแผนการรักษา เพราะการให้เลือดจะช่วยเพิ่มความเข้มข้นของเลือดซึ่งเป็นตัวนำออกซิเจนทำให้อาการเหนื่อยอ่อนเพลียลดลงได้ 3. ดูแลให้ Folic 1 tab oral OD pc ตามแผนการรักษา เพราะเป็นกรดโฟลิคช่วยร่างกายในการสร้างเม็ดเลือด โดยจะไปช่วยไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดง 3.
ซี. (1/2-1 แก้ว), ลูกอม 2 เม็ด หรือน้ำตาลทราย 2 ก้อน แต่หากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ***หมายเหตุ: อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 08. 47 น. วันที่ 2 เมษายน 2559 เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือชิคุนกุนยาสูง แต่อาการคือจะมีไข้สูง ไม่ใช่ไข้ต่ำๆ และจะปวดตามข้อต่างๆ มาก อาจมีอาการอ่อนเพลีย ปวดหัว ตาแดงคลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ และมีผื่นขึ้นด้วย 6. โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น ดังนั้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ซึ่งแพทย์ก็จะทำการตรวจร่างกาย และอาจตรวจเลือดเพิ่มเติม ซึ่งบางครั้งการตรวจเลือดในเบื้องต้น อาจยังไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ แพทย์อาจต้องตรวจเลือดที่เฉพาะเจาะจงต่อโรคที่สงสัยในขั้นตอนต่อไปอีก ดังนั้น การสินิจฉัย อาจไม่สามารถทำได้ในการตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ อาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ เอ๊กซเรย์ เป็นต้น
สวัสดีค่ะ คุณ Chataporn Malakeemah, อาการปวดตามข้อต่าง คือข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า สะโพก มีไข้ต่ำๆ เพลีย อาจเกิดจาก 1. จากโรคภูมิแพ้ตนเองต่างๆ เช่น โรคพุ่มพวง ชนิด SLE, โรคหนังแข็ง เป็นต้น ซึ่งมักจะมีอาการหลากหลายต่างๆ เช่น มีไข้ต่ำๆ เรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดบวมตามข้อต่างๆ ขาบวม มีผื่นแดงขึ้นตามใบหน้า ผิวไวต่อแสงแดด มีปากเป็นแผล ผมร่วง โลหิตจาง เป็นต้น 2. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะมีอาการปวดตามข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อนิ้วเท้า เริ่มแรกจะปวดไม่มาก มักเป็นตอนกลางคืนและเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอนานไปจะปวดมากขึ้นและข้อจะบวมขึ้น มีข้อฝืดแข็งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ต่อมาจะเริ่มปวดบริเวณข้อที่ใหญ่ขึ้น เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อไหล่ และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น หากเป็นเวลานานจะทำให้ข้อนิ้วมือมีการผิดรูปได้ 3. จากการหยุดใช้ยาสเตียรอยด์กะทันหัน อาจทำให้มีอาการปวดข้อคล้ายโรครูมาตอยด์ได้ 4. เก๊าท์ แต่ในระยะเริ่มแรก อาการปวดมักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่บ่อย คือ นิ้วหัวแม่เท้า และจะมีอาการบวม แดง ร้อนร่วมด้วย ถ้าไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษา อาการอาจกำเริบทุก 1-2 ปี ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อได้ แต่ก็มักไม่ได้ทำให้มีไข้ร่วมด้วย 5.
3. สังเกตผิวหนังบริเวณที่บวมอยู่เสมอว่ามีรอยแตกหรือไม่อย่างไร ถ้าเกิดการแตกแยกควรทำความสะอาดบริเวณนั้นและทาด้วย aseptic ointment 1. ผิวหนังของผู้ป่วยแห้งและสะอาดดีไม่เกิดแผลกดทับและไม่มีรอยย่นแตก 4. เสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากมีภูมิต้านทานลดลงจากผลการรักษาด้วย Steroid และมีโปรตีนในเลือดต่ำ 1. ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชม. สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจเร็ว เหนื่อยหอบ ถ้ามีอาการดังกล่าวรายงานแพทย์ 2. จัดสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ให้อยู่ใกล้ชิดกับ ผู้ป่วยอื่นที่มีการติดเชื้อเยี่ยมผู้ป่วย รวมทั้งสอนให้ผู้ป่วยรู้จักหลีกเลี่ยงจากบุคคลอื่นที่มีการติดเชื้อ 3. ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของผู้ป่วย 4. ทำกิจกรรมการพยาบาลด้วยวิธี aseptic technique ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาล 5. เน้นให้ผู้ป่วยและญาติเห็นความสำคัญของการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้โรคเกิด relapse ได้ 1. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติและไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ 2. ผู้ป่วยและญาติร่วมมือในการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ 5. มีภาวะโภชนาการผิดปกติ ได้รับสารอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย เนื่องจากมีการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะและมีการย่อยและการดูดซึมบกพร่อง 1.
ดู Blog ทั้งหมด เขียนโดย A Rai Naa >>> ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล กิจกรรมการพยาบาล เกณฑ์การประเมินผล 1. มีปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติเนื่องจากหน้าที่ในการขับน้ำของไตลดลงและมีโปรตีนในเลือดต่ำ 1. ให้อาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อเพิ่มโปรตีนในเลือด 2. ให้พลาสม่าหรืออัลบูมินทางหลอดเลือดดำ 3. ประเมินอาการบวม 4. ติดตามผลการตรวจโปรตีนในเลือดและปัสสาวะเป็นระยะเพื่อประเมินโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะ 1. น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม 2. ไม่มีอาการบวมตามสัดส่วนต่างๆของร่างกาย 3. มีความสมดุลของสารน้ำที่ข้าและออกจากร่างกาย 4. ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ 5. มีสัญญาณชีพปกติ 2. ทนต่อกิจกรรมได้น้อยลง เนื่องจากอ่อนเพลีย 1. ประเมินความรุนแรงของอาการอ่อนเพลีย 2. จัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน เมื่อเกิดอาการอ่อนเพลีย 3. จัดกิจกรรมการเล่นให้เหมาะสม จัดให้พักผ่อนหลังจากทำกิจกรรม กิจกรรมที่จัดควรให้เป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้แรงมาก เช่น วาดรูป ระบายสี อ่านหนังสือ 1. อาการอ่อนเพลีย 3. มีความแข็งแรงของผิวหนังบกพร่องเนื่องจากภาวะบวม 1. ดูแลผิวหนังให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้น เช่น ขาหนีบ 2. เปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชม.