ทุกครั้งที่เอามาจับคันเกียร์จำไว้เสมอว่า ขาขวาจะต้องเหยียบเบรคไว้เสมอ เพื่อความปลอดภัย ซึ่งคันเกียร์ต่างๆจะโยกตำแหน่งได้ เมื่อบิดกุญแจสตาร์ทรถแล้วเท่านั้น 4. เมื่อสตาร์ทรถ ควรสตาร์ทไม่เกิน 5 นาที และอย่าเปิดแอร์ทิ้งไว้ เมื่อเครื่องยนต์ติดค่อยเปิดแอร์ทีหลัง วิธีนี้จะช่วยรักษาแบตเตอรี่ให้มีอายุใช้งานที่ยาวนาน 5. เมื่อสตาร์ทติดแล้วให้เช็คหน้าจอในจุดเตือนต่างๆของเครื่องยนต์ว่า จะต้องไม่มีหลอดไฟสีแดงขึ้น สีแดงจะต้องดับหมด ยกเว้นดวงเดียวที่จะแดงคือ เบรกมือ 6. อย่าพยายามคาเบรกมือไว้ บางคนออกรถทั้งๆที่ยังไม่ได้เอาเบรกมือลง มันจะจะทำให้กินน้ำมัน ดังนั้นก่อนออกรถควรตรวจเช็คให้ดี ที่สำคัญอย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนขับเคลื่อนตัวรถ และนี่เป็นขั้นตอนที่ถูกต้องในการสตาร์ทรถยนต์เกียร์ออโต้ ลองนำไปทบทวนดูว่า คุณได้ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องอย่างที่แนะนำมาหรือเปล่า? มีบางอย่างที่หลงลืมไปไหม เช่น การไม่เอาเบรกมือลง การเปิดแอร์ทิ้งไว้ก่อนสตาร์ท ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและการยืดอายุการใช้งานของรถคุณได้อยู่กับคุณได้อย่างคุ้มค่าและนานที่สุดนั่นเอง ติดตามบทความเรื่องรถได้ที่ รวมเรื่องรถ เวปไซด์ และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook
รถยนต์เกียร์ ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ เป็นรูปแบบของรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เหมาะแก่การใช้ในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น แต่ก็มีความถึกได้ไม่เท่ากับเกียร์กระปุกแบบเก่า หากไม่ต้องการให้เกียร์ออโต้เสียก่อนเวลาอันควร มาทราบวิธีการขับขี่เกียร์ออโต้ที่ถูกต้องก่อนดีกว่า อะไรบ้างที่ไม่ควรทำถ้าไม่อยากต้องเปลี่ยนเกียร์ทั้งชุด 1. ไม่เหยียบเบรกก่อนสตาร์ท หรือเปลี่ยนเกียร์ วิธี ที่ถูกต้องที่สุด คือ การเหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตารท์รถ เพื่อป้องกันอันตรายถึงแม้ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง(P)หรือ(N)ก็ตาม และที่สำคัญคือ การเหยียบเบรคทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ จากเกียร์ว่าง( N) หรือเกียร์จอด (P) ไปเป็นเกียร์เดินหน้า (D) หรือเกียร์ถอยหลัง (R) ความจริงแล้วกรณีนี้ไม่อันตรายต่อเกียร์เท่าไหร่นัก แต่ "เหยียบเบรกไว้ก่อนอุ่นใจกว่า" รถจะได้ไม่พุ่งไปโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว 2. ไม่รอรถหยุดสนิทก่อนเปลี่ยนเกียร์ ถ้า คุณเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเดินหน้า (D) ไปเป็นตำแหน่งถอยหลัง (R) หรือเปลี่ยนจากตำแหน่งถอยหลัง (R) ไปเป็นตำแหน่งเดินหน้า (D) ควรรอให้รถหยุดสนิทก่อน อย่าใจร้อนและทำตอนที่รถยังคงเคลื่อนที่อยู่ เพราะจะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานสั้น ต้องเสียค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในราคาสูง 3.
ใส่เกียร์ถอยแต่นิ่ง เป็นอาการยอดฮิตที่คนใช้รถนาน ๆ ชอบเจอโดยเฉพาะเกียร์ออโต้ ที่ใส่เกียร์ R แต่ไม่ดันถอยหลัง แต่กลับนิ่งสนิทอยู่อย่างนั้น ซึ่งอาการตอบสนองช้าของเกียร์นั้นมักพบได้ในอาการแรก ๆ ของเกียร์ที่มีปัญหา 5. รถไม่ค่อยวิ่งตอนเครื่องเย็น อาการนี้น่าตะใจเพราะเมื่อเราสตาร์ทเครื่องใหม่ ๆ มีบางจังหวะที่เรารีบ กะจะใส่เกียร์ D แล้วเร่งเครื่องเลย แต่รถเจ้ากรรมดันไม่ไปตามเท้าที่เหยียบคันเร่ง นิ่งสนิทอยู่อย่างนั้น ก็อาจะเป็นเพราะว่าเครื่องยังเย็นอยู่ และเหตุผลที่ทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานตอนเครื่องเย็นนั้นก็อาจจะมีปัญหามาจากเกียร์เจ้าปัญหาของเรานี้แหละ สำหรับท่าใดที่พบอาการแปลก ๆ เหล่านี้ก็อย่านิ่งนอนใจ รีบพารถที่เรารักไปตรวจเช็คกันเถอะว่า อาการงอแงทั้งหลาย ต้นเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ทางทีดีเราควรศึกษาวิธีการใช้ และ การถนอมเกียร์เบื้องต้นจะดีกว่า เพราะกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ ใช่มั๊ยล่ะ!
ปัจจุบันประเทศไหนนิยมใช้เกียร์ออโต้ หรือเรียกอีกอย่างว่า "เกียร์อัตโนมัติ" อย่างแพร่หลาย ทำให้คนที่อยากจะออกรถใหม่สักคัน หันมาสนใจและศึกษาระบบเกียร์ต่าง ๆ มากขึ้น หากคุณยังไม่ทราบว่าระบบเกียร์ออโต้แบบไหนทำงานอย่างไร เหมาะแก่การใช้งานในชีวิตประจำวันของคุณหรือไม่ เราได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ให้แล้ว ไปอ่านกัน จองทะเบียนกับ Fasttabien เกียร์ออโต้ มีกี่แบบ อะไรบ้าง? 1.
การถอยหลัง เหยียบเบรคค้างไว้แล้วเลื่อนเกียร์มาที่ตำแหน่ง R ค่อยๆ ผ่อนเบรคเพราะรถจะถอยได้เอง แต่ถ้าต้องการให้ถอยเร็วหรือกรณีถอยขึ้นที่สูงก็อาจต้องเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วได้แต่ค่อยๆเหยียบนะ ก่อนอื่นก็คาดเข็มขัดกันก่อนนะครับ 1. เกียร์ธรรมดาจะมี คลัทช์ เพิ่มขึ้นมาจากรถเกียร์ออร์โต้อยู่ซ้ายสุด ต่อมาอันกลาง คือเบรก และคันเร่งจะอยู่ด้านขวามือสุด 2. เรียนรู้เรื่อง คลัทช์ ว่ามันทำหน้าที่ปลดกำลังเครื่องยนต์ที่กำลังหมุนจากล้อรถยนต์ที่หมุนอยู่ เพื่อยอมให้คุณเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่ทำให้เกิดการเสียดสีของฟันเกียร์ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนเกียร์ (เปลี่ยนขึ้น หรือลง) คลัทช์ต้องถูกกดจนสุดพื้นรถ จะเปลี่ยนขึ้นหรือลงให้ดูรอบรถดีๆนะครับ 3. การจะสตาร์ทรถ ต้องเช็คเกียร์ดูก่อนว่า อยู่ที่เกียร์ว่างหรือเปล่า โดยลองโยกหัวเกียร์ดูว่า สามารถโยกไปซ้ายหรือขวาได้ ซึ่งคุณจะไม่รู้สึกสะดุดเมื่อโยกหัวเกียร์จากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งแล้วจึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ 4. ปรับเบาะให้พอดี โดยให้เราเหยียบคลัทช์ได้จนสุด จากนั้นเหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถและค้างไว้ เข้าเกียร์ 1แล้วค่อยๆ ใช้เท้าปล่อยแป้นคลัทช์อย่างช้าๆ พอรถเริ่มออกตัวก็ให้เริ่มเหยียบคันเร่ง และฟังเสียงรอบเครื่อง หรือดูรอบเครื่องจากหน้าปัด แล้วเปลี่ยนเกียร์ 2, 3 ตามลำดับ ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์จะใช้วิธีเดียวกันนี้ทุกครั้ง 5.
แม่ลูกจันทร์ 5 มี. ค. 2560 06:05 น.
รถยนต์ทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ ( หรือเกียร์ออโต้) บนท้องถนนปัญหารถติดไม่เคยหายไปโดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน รถยนต์ที่ใช้เกียร์ออโต้จึงได้รับความนิยมมาก เพราะรถที่ใช้เกียร์ออโต้จะได้เปรียบเพราะไม่ต้องเหยียบครัช ถ้าขับรถเกียร์ธรรมดาจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่า คนสมัยนี้จึงนิยมใช้เกียร์อัตโนมัติ แต่รถเกียร์อัตโนมัติมีความสะดวกสบยกว่าก็จริง แต่ถ้าสตาร์ทรถไม่ถูกวิธีก็เป็นอันตรายได้เช่นกัน ดังนั้นเรามาดูกันว่า การสตาร์ทรถเกียร์อัตโนมัติ หรือเกียร์ออโต้ที่ถูกวิธีต้องทำอย่างไรบ้าง 1. เมื่อเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้วให้ใช้เท้าเหยียบเบรคลงไปให้สุด ระบบมันจะล็อคล้อหลังให้ทันที 2. ตำแหน่งเกียร์ที่รถออโต้จะสตาร์ทติด มีอยู่ 2 ตำแหน่งคือ ตำแหน่ง P และตำแหน่ง N ส่วนตำแหน่งอื่นๆไม่สามารถสตาร์ทติดได้ แต่ถ้าใครสตาร์ทติดในตำแหน่งที่ไม่ใช่ P กับ N ถือว่ารถผิดปกติ ต้องเรียกช่างมาตรวจสอบ ดังนั้นถ้าจะสตาร์ทรถออกโต้ ให้ดันเกียร์มาที่ตำแหน่ง N หรือ P เท่านั้น และถ้าให้ดีที่สุดควรจะดึงมาที่ตำแหน่ง N เพื่อที่เวลาออกตัวรถจะได้ดันเกียร์มาที่ตำแหน่ง D ซึ่งเป็นโหมดขับขี่ แต่ถ้าสตาร์ทที่ตำแหน่ง P อาจเกินข้อผิดพลาดในการออกตัวด้วยการดันเกียร์มาที่ตำแหน่ง R ซึ่งเป็นเกียร์ถอยหลัง และการเกิดอุบัติเหตุของรถออโต้ส่วนใหญ่ก็มักจะมาจาการใช้เกียร์ถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ เพราะผู้ขับขี่หลงลืม 3.
ในระหว่างการขับขี่รถยนต์. เมื่อรอบเครื่องของคุณถึง 2, 500 – 3, 000 รอบต่อนาที คุณควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 จำไว้ว่ามันมันจะขึ้นอยู่กับประเภทรถที่คุณขับขี่ว่าเครื่องวัดความเร็วรอบถูกตั้งให้เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบเท่าไหร่ เมื่อเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เครื่องยนต์ของรถจะเริ่มเร็วขึ้น และคุณควรจดจำเสียงนี้ให้ได้ ให้เหยียบแป้นคลัทช์ และโยกหัวเกียร์จากเกียร์ 1 มาเกียร์ 2, 3, 4, 5 ตามลำดับ 8. หากคุณปล่อยคลัทช์เร็วเกินไป รถจะกระตุก และดับ หากเครื่องยนต์มีเสียงคล้ายจะดับ ให้เหยียบคลัทช์ค้างไว้ หรือกดคลัทช์ให้ลึกขึ้นอีกเล็กน้อย ความเร็วเครื่องยนต์ที่มากเกินไป ในขณะที่ไม่ได้เหยียบคลัทช์จนสุด จะทำให้ชิ้นส่วนของคลัทช์สึกหรอก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เกิดการลื่นไถล หรือทำให้ชิ้นส่วนคลัทช์ที่ระบบส่งกำลังไหม้ อยากเดินทางปลอดภัย ถ้าเตรียมตัวไว้ช่วยได้เยอะ
เกียร์ CVT คืออะไร?